Translate

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เคี้ยวอย่างไรให้ได้ประโยชน์


     เรื่องใกล้ตัวอย่างหนึ่งที่เราอาจจะมองข้ามไปนั่นก็คือ เรื่องการเคี้ยวอาหารของเรานั่นเอง ที่เราเคี้ยวอาหารก่อนกลืนอยู่ทุกวันนี้เราเคี้ยวได้ถูกวิธีและนานพอหรือไม่ เรามาลองดูกันดีกว่าครับ
เคี้ยวมาก จะช่วยให้สมองปราดเปรียวมากขึ้น นักการเมืองชาวอังกฤษท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า “อาหาร 1 คำ ต้องเคี้ยวอย่างน้อย 3-12 ที ไม่ว่าอาหารนั้นจะอ่อนแค่ไหนก็ตาม ถ้าคุณไม่มีความอดทนขั้นนี้ ก็อย่าไปหวังว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้”
มีอาจารย์ท่านหนึ่งป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารตั้งแต่เด็ก สร้างความกลัดกลุ้มทรมานแก่เขามาก หลังจากเขาทดลองเคี้ยวอาหารคำละ 100 ทีแล้ว ปรากฏว่า เขาหายจากโรคกระเพาะอาหารในเวลา 1 สัปดาห์
การเคี้ยวอาหารมิเพียงเกี่ยวกับสุขภาพเท่านั้น ยังเกี่ยวพันกับสมรรถนะของสมองอย่างแนบแน่นด้วย การเคี้ยวอาหารจะกระตุ้นให้ต่อมน้ำลาย (SALIVARY GLAND) และต่อมใต้หู (PAROTID GLAND) หลั่งฮอร์โมนออกมา ขณะเดียวกันอาการเคี้ยวซึ่งทำให้ฟันบนกับฟันล่างกระทบกันก็จะกระตุ้นสมองใหญ่ด้วย การกระตุ้นนี้จะทำให้สมองใหญ่ปราดเปรียวยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มพลังแห่งการวินิจฉัย การขบคิดและสมาธิ คนที่กินอาหารอ่อนนุ่มบ่อย ๆ หรือเคี้ยวอาหารไม่ค่อยได้หรือเคี้ยวน้อยไป สมองก็จะอ่อนแอด้วย
ข้างล่างนี้คือผลที่ได้จากการทดลองจำนวนทีที่เคี้ยวอาหารสำหรับประกอบการพิจารณา ผู้ที่สนใจจะทดลองดูก็ได้
ผลที่ได้จากการเคี้ยวอาหาร
  • การเคี้ยวอาหาร 30 ที ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ ควรเคี้ยวอย่างน้อยที่สุด 30 ที จะช่วยให้เหงือกแข็งแรง และช่วยรักษาอาการขี้หงุดหงิดจิตใจไม่สงบ
  • การเคี้ยวอาหาร 50 ที จะช่วยลดการกลัดกลุ้มเจ้าอารมณ์ อย่างน้อยที่สุดช่วยให้ลืมเรื่องไม่น่าอภิรมย์ได้ในเวลากินอาหาร นอกจากนี้ ยังลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่เกินจำเป็นถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
  • การเคี้ยวอาหาร 60 ที เหมาะสำหรับอาหารที่มีใยหรือกากมากหรือย่อยสลายลำบาก ช่วยลดอาการท้องผูก กระตุ้นสมรรถนะของสมองใหญ่ ช่วยให้สมองแล่นมากขึ้น
  • การเคี้ยวอาหาร 80 ที ช่วยให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น สามารถจำแนกรสธรรมชาติและสารปรุงอาหารที่มีพิษในอาหารได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังช่วยให้เลียนแบบสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
  • การเคี้ยวอาหาร 100 ที ช่วยให้หนักแน่นมากขึ้น สามารถวินิจฉัยและจัดการปัญหาต่าง ๆ อย่างสงบเยือกเย็น กินน้อยแต่ร่างการดูดซึมสารอาหารได้มาก นอกจากนี้ยังช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ หรือระคายต่อร่างกายได้ด้วย
  • การเคี้ยวอาหาร 150 ที ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 150 ที ต่ออาหารหนึ่งคำ กระเพาะอาหารและลำไส้จะมีสมรรถนะสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้หายจากโรคเรื้อรังบางอย่างโดยไม่ต้องรักษา ขณะเดียวกันก็ช่วยให้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดังใจ
  • การเคี้ยวอาหาร 200 ที ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 200 ที ต่ออาหาร 1 คำได้ทุกมื้อแล้ว จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่าง ๆ ได้แม่นยำมากขึ้น
ถ้าผู้ที่เป็นมารดาเอาแต่ป้อนอาหารที่อ่อนเหลวและมีคุณค่าอาหารค่อนค้างสม่ำเสมอแก่เด็กแล้ว เด็กโตขึ้นก็จะติดนิสัยเลว ๆ ที่ชอบกลืนอาหารโดยไม่เคี้ยว และไม่มีทางได้สัมผัสความรู้สึกอิ่มในการกินอาหาร ท้ายที่สุดก็จะติดความเคยชินชอบกินอาหารมากเกินไป นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กอ้วนเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
เคยมีคนสำรวจเด็กอายุระหว่าง 1-5 ขวบ จำนวน 39,000 คน ผลปรากฏว่า เด็กที่ขบเคี้ยวอาหารค่อนข้างแข็งไม่เป็นมีจำนวนถึง 550 คน พูดง่าย ๆ ก็คือ เด็กทุก 75 คน จะมีเด็ก 1 คน ขบเคี้ยวอาหารไม่เป็น อีกทั้งนี่เป็นปรากฏการณ์ทั่วไปในประเทศต่าง ๆ ของโลกทุกวันนี้
ผลการสำรวจของ ดร. ดับเบิลยู เอ พูลเลอรส์ นายแพทย์ชาวอเมริกันพบว่า ชาวเอสกิโมและชาวอินเดียนามีอาการขากรรไกรล่างไม่แข็งแรง เนื่องจากการกินอาหารกระป๋องและอาหารรสหวานมากไปเป็นเวลายาวนาน ทั้งที่เดิมทีพวกเขามีฟัน เหงือก และขากรรไกรที่แข็งแรงมาก เนื่องจากต้องเคี้ยวอาหารดั้งเดิมของพวกเขาซึ่งมักมีเอ็นเหนียวอยู่ด้วย
ถ้าเคี้ยวอาหารไม่ถูกหลัก มิเพียงจะทำให้ฟันผุเท่านั้น แม้แต่สมอง อวัยวะภายใน เอว แขนขาก็จะพลอยได้รับผลกระทบอย่างหนัก
หนังสือโภชนาการชีวิตและความเสื่อมของร่างกายซึ่งเขียนโดยนายแพทย์ท่านหนึ่งได้เตือนผู้อ่านอย่างจริงใจว่า ความเคยชินที่ไม่ถูกต้องในการกินอาหารทำให้เกิดโรคจิตและโรคในส่วนศีรษะได้ง่าย ข้อความที่แฝงความหมายลึกซึ้งและจริงใจนี้มิได้ขยายความเกินจริงอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่า การเคี้ยวมีสมรรถนะช่วยขจัดพิษด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น